วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559

เปลี่ยนพนักงานเกี่ยงงานให้ทำงาน


เปลี่ยนพนักงานเกี่ยงงานให้ทำงาน 

จากการไปร่วมอบรมสัมนาหลายที่  พบปะกับระดับผู้บริหาร  เจ้าของกิจการและหัวหน้างานหลายระดับ  ปัญหาอย่างหนึ่งที่นำมาแชร์และสอบถามกันคือ  พนักงานในบริษัททำงานผิดบ่อยไม่ปรับปรุงแก้ไข  บอกว่างานยากงานเยอะ  ทำไม่เสร็จทำไม่ทัน  งานหนักทำอยู่คนเดียว  แต่พอจ้างคนมาช่วยทำก็ไม่สอนงานหรือกดขี่พูดจาไม่ดีจนพนักงานใหม่อยู่ไม่ได้  ส่วนเพื่อนร่วมงานที่มีอยู่แล้วก็ไม่กล้าแสดงความรู้ความสามารถเกินหน้าเกินตา  กลัวคนกลุ่มนั้นจะไม่พอใจและทำงานร่วมกันไม่ได้
ตราบใดที่เจ้าของบริษัทยังคิดว่าคนนี้มีประโยชน์ต่อองค์กร  ขาดเขาแล้วบริษัทจะดำเนินกิจการต่อไม่ได้  ก็ต้องจ้างเขาทำงานต่อไป  และคนอื่นๆที่มีความรู้ความสามารถก็ไม่มีโอกาสได้แสดงออก  บริษัทเองก็เสียโอกาสที่จะได้คนดีๆมีความรู้ความสามารถมาทำงาน  การทำงานที่ถูกต้องคือส่งเสริมคนดีส่งเสริมคนมีความรู้ความสามารถ  อย่าลืมว่ายังมีคนรอแสดงความสามารถอีกมากมาย
สิ่งแรกที่เจ้านายหรือผู้บริหารหรือหัวหน้างานต้องทำคือ  มองให้เห็นว่าในบริษัทยังมีคนไหนบ้างที่มีความรู้ความสามารถ  รอโอกาสในการแสดงออก  ส่งเสริมคนนั้นให้ได้ทำงานเพื่อพิสูจน์ความสามารถโดยการมอบหมายงานให้ทดลองทำ  เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น  ส่งไปอบรมตามสถาบันต่างๆเพื่อเพิ่มความรู้  ในขณะที่ต้องคอยดึงคนที่ทำตัวมีปัญหาออกห่างไม่ให้มีโอกาสกีดกันหรือขัดขวาง  ถ้าโชคดีคุณจะได้คนมาทำงานแทนคนที่มีปัญหา  ในระยะยาวถ้าการส่งเสริมคนใหม่ๆให้มีโอกาสได้แสดงออกแบบนี้ทำจนเป็นวัฒนธรรมแล้ว  จะทำให้บุคลากรในบริษัทมีความกระตือรือร้นพัฒนางานพัฒนาตัวเอง  ส่วนคนที่ทำตัวมีปัญหาจะอยู่ร่วมสังคมไม่ได้  ถึงตรงนี้ถ้าเขาไม่ปรับตัวก็กลับไปอยู่บ้านได้แล้ว
แต่ถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะทำยังไงกับคนมีปัญหาคนนี้  ก็จ้างให้นั่งอยู่เฉยๆไปก่อนก็ได้  อย่างน้อยก็ทำให้เกิดความเสียหายต่อบริษัทน้อยกว่าการปล่อยให้ทำงานแบบเกี่ยงงอน  ขัดขวางคนอื่นไม่ให้ทำงาน  งานต้องเดินช้าต้องมีปัญหาเหมือนที่ตัวเองบอกเท่านั้น  หรือยิ่งถ้าตำแหน่งของคนนี้เป็นระดับหัวหน้า  โง่คนเดียวไม่พอยังสั่งงานลูกน้องโง่ๆอีกด้วยทำให้ทำงานผิดพลาดและเสียหายหลายคน  ดังนั้นนั่งเฉยๆไปก่อนสักระยะจนกว่าเจ้าของบริษัทจะคิดออกว่าจะให้ทำอะไร
การโยกย้ายหน่วยงานเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะจัดการกับคนมีปัญหาเหล่านั้น  แต่นั่นก็ไม่ได้ง่ายเพราะหน่วยงานอื่นก็คงไม่มีใครต้องการคนมีปัญหาเข้าไปร่วมงาน  จึงต้องหาตำแหน่งที่ย้ายไปทำแล้วไม่ส่งผลเสียกับงานคนอื่น  หลายๆคนที่ผ่านการโยกย้ายหน่วยงาน  มีการปรับปรุงตัวเอง  กระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้น  มีความระมัดระวังไม่ให้เกิดความผิดพลาด  จากที่เคยทำงานตามใจฉันเปลี่ยนเป็นทำงานตามระบบและขั้นตอนของบริษัท  ไม่เชื่อลองทำดูค่ะ
ไม่ปล่อยให้ทำงานผิดซ้ำๆ  คนกลุ่มนี้จะไม่เกรงกลัวการทำผิด  จึงทำงานผิดพลาดซ้ำๆ  เจ้านายหรือผู้บริหารจะต้องไม่เพิกเฉยเมื่อพบความผิดพลาด  เริ่มจากแจ้งให้เขาทราบว่าทำผิดอย่างไร  ต้องทำอย่างไรจึงจะถูกต้อง  จากนั้นถ้าผิดซ้ำอีกก็จะใช้เป็นเงื่อนไขได้ว่างานนี้ไม่เหมาะสมกับเขา  จำเป็นต้องโยกย้ายไปทำตำแหน่งที่เหมาะสม  แต่หากพูดคุยชี้แจงแล้ว  โยกย้ายแล้ว  ยังทำผิดพลาดเหมือนเดิมก็ประเมินได้ว่าคุณไม่ได้ put the right man on the right job แต่แรก  ซึ่งเป็นความผิดพลาดในกระบวนการแต่งตั้งให้เขาทำงานตำแหน่งนี้ในบริษัท  ต้องกลับไปทบทวนวิธีการพิจารณาและเกณฑ์การคัดเลือกตำแหน่งนี้ใหม่
ใจดีเกินไปเท่ากับปล่อยปละละเลยให้คนทำงานผิดพลาดทำงานตามอำเภอใจ  เข้มงวดเกินไปไม่ได้ช่วยให้คนทำงานเก่งขึ้น  เพราะคนเรามีความรู้ความสามารถที่แตกต่างกัน  การจัดคนทำงานให้ตรงกับความรู้ความสามารถ  put the right man on the right job คือวิธีที่ดีที่สุด

Technic for planning control ตอน เทคนิคการควบคุมแผนการผลิตประจำวัน


Technic for planning control
ตอน
เทคนิคการควบคุมแผนการผลิตประจำวัน
 
               การวางแผนการผลิต  คือการนำ order มากำหนดไลน์ผลิต  กำหนดระยะเวลาทำงานแต่ละ process  กำหนดวันส่งสินค้าเพื่อนัดหมายกับลูกค้าตาม capacity ของแต่ละไลน์ผลิต  ซึ่งในปัจจุบันโรงงานส่วนใหญ่ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการวางแผนการผลิต  เจ้าหน้าที่วางแผนเพียงแค่กรอกข้อมูลในโปรแกรมสำเร็จรูปตามข้อกำหนด  จะได้แผนการผลิตออกมาพร้อมนำไปทำงาน  แต่การควบคุมแผนการผลิต  คือการกำกับดูแลให้การผลิตทุก process ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้  คนทำหน้าที่นี้จึงต้องเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นจนจบ
การควบคุมแผนการผลิตไม่ใช่ควบคุม output เท่านั้น  แต่ต้องควบคุมตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงวันส่งมอบ  ซึ่งแต่ละ process มี lead time ในการทำงานเป็นของตัวเอง  หาก process ใดในสายการผลิต delay  ย่อมส่งผลต่อ process ต่อๆไปตามลำดับ  แต่กำหนดส่งสินค้าที่ตกลงกับลูกค้าไว้ในแผนนั้นลูกค้าจะไม่ยอมให้เลื่อนได้ง่ายๆ  เพราะลูกค้าเองย่อมมีกำหนดขายสินค้าไว้แล้วเช่นกัน  ดังนั้น  การควบคุมแผนจึงต้องมีการเช็คและ monitor status ทุกขั้นตอนทุกวัน
ความพร้อมของวัตถุดิบถือเป็นหัวใจสำคัญของการผลิต  ถึงแม้เครื่องจักรพร้อม  คนพร้อม  แต่วัตถุดิบไม่พร้อม  ก็ไม่สามารถเดินสายการผลิตได้  วัตถุดิบจึงต้อง on time  ซึ่งแผนกควบคุมแผนต้องตรวจสอบสถานะวัตถุดิบจากแผนกจัดซื้อ  เพื่อติดตามจาก supplier เข้ามาให้ตรงเวลา  คุณภาพของวัตถุดิบเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลกับสายการผลิต  หากได้รับวัตถุดิบที่ไม่มีคุณภาพนอกจากจะต้องเสียเวลาตรวจสอบหรือคัดแยกแล้วยังเสียต้นทุนเพิ่มอีกด้วย
จำนวนคน/เครื่องจักรและเวลาทำงาน  จะถูกกำหนดไว้ในแผนการผลิตตั้งแต่ขั้นตอนวางแผน  การทำงานในแต่ละวันจะต้องประเมินผลกระทบจากคนหยุดงาน  machine down time  เพื่อประเมิน output ล่วงหน้า  ควบคุมและลดการหยุดงานด้วยแรงจูงใจต่างเช่น เบี้ยขยัน  การนำวันหยุดมาเป็นเกณฑ์ในการปรับค่าจ้างและโบนัส  ควบคุม machine down time ด้วยระบบ PM (preventive maintenance)  การบำรุงรักษาเครื่องจักรและเปลี่ยนอุปกรณ์ตามระยะเวลา
เช็ค output และประสิทธิภาพการผลิตประจำวัน  หากต่ำกว่าแผนไม่ว่าจะเกิดจากคนหยุดงานหรือ machine down time หรือเกิดจากปัจจัยอะไรก็ตาม  การตรวจสอบประจำวันจะช่วยให้ตัดสินใจได้ว่าจำเป็นต้องเพิ่มเวลาทำงานของไลน์ผลิตหรือเพิ่มเครื่องจักรหรือต้องโอนงานส่วนที่ delay ไปผลิตไลน์อื่น
สรุป output และประสิทธิภาพการผลิตประจำสัปดาห์  ประจำเดือน  หรือตามระยะเวลาที่บริษัทกำหนด  เพื่อประเมินสถานการณ์การผลิต  เก็บประวัติปัญหาการผลิตและวิธีแก้ไข  เพื่อนำไปออกแบบวิธีป้องกันปัญหาในการเดินสายผลิตลอทต่อไป  และประเมินความสามารถในการรับ order ใน season ต่อไป  รวมถึงประเมินผู้บริหารสายการผลิตว่ามีความสามารถในการบริหารจัดคนและเครื่องจักรเพื่อควบคุมงานตามแผน  แก้ไขปัญหาหน้างานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพหรือไม่

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559

Technic for planning control ตอน เทคนิคการปรับแผนการผลิต


Technic for planning control
ตอน
เทคนิคการปรับแผนแผนการผลิต 

พูดถึงแผนการผลิต  คนในวงการโรงงานอุตสหกรรมคงรู้จักเป็นอย่างดี  และหากทุกกระบวนการทำงานได้ตามแผน  เป้าหมายทุกอย่างจะบรรลุอย่างราบรื่น  ได้จำนวนผลผลิตตามแผน  ส่งมอบตรงเวลา  ควบคุมต้นทุนได้อย่างแม่นยำ  ผลประกอบการเป็นไปตามเป้าหมาย  แต่ในความเป็นจริงทุกกระบวนการไม่สามารถทำได้ตามแผนที่วางไว้ 100% อาจเนื่องมาจากวัตถุดิบล่าช้า  พนักงานหยุดงาน  ไฟฟ้าดับ  เครื่องจักรเสีย  ภัยธรรมชาติ  แผนการผลิตจึงจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนโดยต้องควบคุมการส่งมอบให้ตามนัดหมายกับลูกค้า
เมื่อมีเหตุทำให้ต้องปรับแผนการผลิต  ผู้จัดการแผนก planning and control ต้องควบคุมไม่ให้กระทบไลน์ผลิตจนส่งผลให้ output ลดลงหรือส่งของล่าช้ากว่ากำหนด  พูดง่ายๆก็คือจะปรับแผนยังไงก็ต้องมั่นใจว่าไลน์ผลิตทำงานตามแผนฉบับใหม่ได้โดยไม่สะดุด  การปรับแผนจึงต้องมีการตรวจสอบให้ถูกต้องก่อนนำไปใช้งาน
ข้อกำหนดการวางแผนการผลิต
1.         วางแผนการผลิตตามจำนวน order จากฝ่ายขาย
2.         กำหนด order ลงไลน์ผลิตตามชนิดและ capacity ของเครื่องจักร 
3.         เผื่อเวลาจากประวัติ machine down time
ข้อกำหนดการปรับแผนการผลิต
1.         สลับลำดับการผลิตตามความพร้อมของวัตถุดิบ
2.         เพิ่มหรือลดไลน์การผลิตตาม order จากฝ่ายขาย
3.         แบ่งงานหรือเกลี่ยงานแต่ละไลน์ใหม่  หรือโอนงานข้ามไลน์ผลิตให้ทันกำหนดส่งมอบ  กรณีเครื่องจักรเสียทำให้งานไลน์นั้น delay แผน
หัวข้อที่ต้องตรวจสอบเมื่อปรับแผน
1.         Order ที่สลับให้ผลิตเร็วขึ้น  ต้องเช็คความพร้อมของวัตถุดิบ  สามารถขึ้นไลน์ผลิตได้ตามแผน
2.         Order ที่สลับให้ผลิตช้าลง  ยังรักษากำหนดส่งมอบได้ตามที่นัดหมายกับลูกค้า หากกระทบกำหนดส่งมอบต้องปรับแผนใหม่เช่น เพิ่มไลน์ผลิต  เพิ่มเวลาทำงาน  เพิ่มคน  เพิ่มเครื่องจักร  เพิ่มประสิทธิภาพเพื่อให้ได้ output ต่อชั่วโมงมากขึ้น  หรือแจ้งลูกค้าขอเลื่อนวันส่งมอบ
3.         กรณีโอนงานข้ามไลน์ผลิต  ต้องเช็คความสามรถของไลน์ว่าสามารถผลิตสินค้าที่จะรับโอนได้หรือไม่  เช่น  ประเภทเครื่องจักร  capacity ของเครื่องจักร  skill พนักงาน
4.         เช็คกำหนดรับวัตถุดิบจาก supplier ว่ายังคงอยู่ในกำหนดที่แผนกจัดซื้อได้แจ้งไว้  หากกำหนดรับวัตถุดิบในแผนใหม่ช้ากว่ากำหนดเดิมคงไม่ใช่ปัญหา  แต่หากปรับแผนแล้วทำให้กำหนดรับวัตถุดิบเร็วขึ้นเป็นปัญหาที่แผนกแผนต้องรีบแจ้งแผนกจัดซื้อเพื่อไปเจรจากับ supplier ให้ส่งวัตถุดิบเร็วขึ้น  หากเจรจาไม่สำเร็จก็เท่ากับว่าแผนที่ปรับให้ผลิตเร็วขึ้นนั้นเร็วได้แค่ในกระดาษ  แต่ไลน์ผลิตต้องรอวัตถุดิบ  ผลิตเร็วขึ้นไม่ได้
5.         กำหนดวันทำงานแต่ละ process ทำงานได้จริงหรือไม่  เช่น  ปรับสลับลำดับ order จากลำดับที่ 2 ขึ้นมาเป็นลำดับที่ 1 หมายความว่ากำหนดวันทำงานแต่ละ process ต้องเร็วขึ้น  ถ้าวันนี้เป็นวันที่ 3 แผนฉบับนี้ทำงานจริงไม่ได้  เพราะเลยวันรับและตรวจคุณภาพวัตถุดิบมาแล้ว  หากใช้แผนฉบับนี้ทำงานจะทำให้วันเริ่มผลิตจริงและวันส่งมอบจริง delay 2 วัน  และซ้ำร้ายกว่านั้น 2 วันที่ต้องหยุดไลน์เพื่อรอรับและตรวจคุณภาพวัตถุดิบ  เสียโอกาสในการผลิตไป 2 วัน  คำนวณเป็นเงินคงไม่ใช่น้อย

วันที่
1
2
3(วันนี้)
4
5
6
7
Order-2
ก่อนปรับแผน
 
 
รับวัตถุดิบ
ตรวจคุณภาพวัตถุดิบ
ผลิต
ผลิต
ส่งมอบ
Order-2
หลังปรับแผนเร็วขึ้น
รับวัตถุดิบ
ตรวจคุณภาพวัตถุดิบ
ผลิต
ผลิต
ส่งมอบ
 
 

ตารางนี้เป็นเพียงการยกตัวอย่าง 1 order  ซึ่งในการทำงานจริงบางโรงงานมีหลายร้อย order  บางโรงงานมีเป็นพันๆ order  คนทำหน้าที่ควบคุมแผนจึงต้องมีความรอบคอบในการตรวจสอบ อาจจำเป็นต้องใช้ software ช่วย  เช่น  เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปต่างๆ  หรือถ้าในบริษัทไม่มีโปรแกรมสำเร็จรูป  เขียนสูตรใน excel ไว้ตรวจสอบก็ได้  จะช่วยให้แผนการผลิตถูกต้องแม่นยำและใช้งานได้จริง
ในที่นี้กล่าวถึงการควบคุมเมื่อปรับแผนการผลิตเท่านั้น  ยังไม่ได้กล่าวถึงการควบคุมประจำวันว่าทำอย่างไรจึงจะควบคุมไลน์ผลิตให้ทำงานได้ตามแผน  ไว้กล่าวถึงในบทความต่อไป

 

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2559

เป็นผู้จัดการแบบไหนรุ่ง แบบไหนร่วง


เป็นผู้จัดการแบบไหนรุ่ง แบบไหนร่วง

ผู้จัดการในที่นี้จะเขียนถึงผู้จัดการแผนกหรือผู้จัดการฝ่ายในโรงงานอุตสาหกรรม  ตำแหน่งที่ต้องบริหารพนักงานเพื่อทำการผลิตสินค้าตามกระบวนการผลิตที่บริษัทกำหนด  ทักษะการบริหารของผู้จัดการคือการทำให้ลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานให้บรรลุเป้าหมาย  การทำงานจึงเกี่ยวข้องกับคนอื่นตลอดเวลา  โดยเฉพาะลูกน้องใต้บังคับบัญชา  จึงขอกล่าวถึงผู้จัดการ 3 แบบ ต่อไปนี้
1.       ปล่อยลูกน้องทำงานโดยไม่สั่งการ  ผู้จัดการแบบนี้  มาจากสองสาเหตุคือเกรงใจลูกน้อง  ไม่กล้าสั่งการกลัวลูกน้องกดดันแล้วไม่ทำงาน  หรือเพราะเจอกลุ่มอิทธิพลในองค์กร  ไม่เชื่อฟังคำสั่งจึงปล่อยเลยตามเลย  การปล่อยให้ลูกน้องทำตามใจย่อมส่งผลเสียต่องาน  เพราะถ้าพนักงานตัดสินใจเองสั่งการเองได้  คงไม่ต้องจ้างผู้จัดการ  สาเหตุที่สองคือทำงานไม่เป็น  ลูกน้องบอกจะทำอะไรจึงปล่อยตามนั้นเพราะผู้จัดการไม่รู้งาน  ถึงแม้สั่งอะไรออกไปก็ไม่มีใครทำตามเพราะสั่งมั่วๆแบบไม่รู้จริง  แบบหลังนี้ผิดพลาดมาตั้งแต่กระบวนการสรรหาหรือแต่งตั้งผู้จัดการคนนี้  ทำให้ได้คนทำงานไม่เป็นมาเป็นผู้จัดการ
2.       บริหารอยู่บนหอคอย  สั่งการอยู่ที่โต๊ะทำงานโดยไม่เข้าไปดูเหตุการณ์หน้างาน  รอฟังรายงานว่าเกิดปัญหาอะไร  แก้ไขได้หรือยัง  งานเสร็จหรือยัง  ทำงานถึงไหนแล้ว  ทำไมยังทำไม่ได้หรือยังไม่เสร็จ  นำผลการทำงานไปรายงานเจ้านาย  ข้อดีรายงานว่าเป็นผลงานของตัวเอง  ข้อเสียไม่รายงาน  หรือหากปิดบังไม่ได้ก็รายงานว่าเป็นความผิดพลาดของลูกน้องคนใดคนหนึ่ง  ถ้าคุณบริหารแบบนี้คุณจะไม่เห็นความเป็นจริงที่หน้างาน  อาจจะได้รับข้อมูลที่ผิดพลาดจากลูกน้อง  ส่งผลให้ติดสินใจและสั่งการผิดพลาด  ไม่ได้รับความรู้สึกที่ดีจากลูกน้อง  ส่งผลให้ teamwork อ่อนแอ  จนนำไปสู่การแบ่งพักแบ่งพวกในองค์กร 
3.       ติดดิน  เข้าไปสั่งการในพื้นที่ให้เห็นกับตา  มีปัญหาเข้าไปร่วมแก้ไข  รับทั้งผิดและชอบร่วมกับทีมงานทุกคน  คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรือทำเป็นทุกอย่าง  แต่เข้าไปมีส่วนร่วมทุกอย่าง  ลูกน้องคุณจะบอกรายละเอียดแก่คุณเอง คุณจะได้รับข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วน  ทำให้ตัดสินใจและสั่งการได้ถูกต้อง  ปัญหาต่างๆแก้ไขได้อย่างรวดเร็วเพราะมี teamwork ที่เข้มแข็ง  การเป็นผู้จัดการแบบนี้ต้องทำงานหนัก  อดทน  หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ  การเข้าพื้นที่ร่วมกับลูกน้องอาจจะไม่ได้รับการตอบสนองในทางบวกทุกครั้งทุกคน  แต่การทำเพื่อพิสูจน์ให้ลูกน้องเห็นว่าคุณมีความรู้ความสามารถที่จะเป็นผู้นำพวกเขาได้  ทำงานร่วมหัวจมท้ายกับพวกเขา  พร้อมที่จะเสียสละแรงกายแรงใจกับลูกน้อง  รายงานเจ้านายว่าผลงานเป็นของทุกคน  ลูกน้องจะรักคุณและทุ่มเททำงานให้คุณ
ทั้ง 3 แบบที่กล่าวมาเคยพบเห็นจริงในองค์กร  แบบที่ 1 อยู่ได้ไม่นานก็ร่วงเพราะลูกน้องไม่ยอมรับ  สั่งการใครไม่ได้  เท่ากับวันๆไม่ได้ทำหน้าที่  แบบที่ 2 จะอยู่ได้นานกว่าแบบที่ 1  เพราะยังรู้จักวางอำนาจ  รู้จักรายงานเจ้านายเอาความดีเข้าตัว  จึงทำให้ลูกน้องบางคนเกรงกลัว  แต่สุดท้ายก็ไม่รอดเมื่อความจริงจะปรากฎในรูปของผลงาน  และหลังจากนั้นลูกน้องจึงจะกล้าพูดถึงข้อเสียของผู้จัดการคนนี้  แบบที่ 3  ยังไงก็รุ่ง  ถึงแม้ในความเป็นจริงของสังคมจะมีทั้งคนรักและคนเกลียด  แต่การเป็นผู้จัดการแบบที่ 3 ก็ยืนยันได้ว่าลูกน้องจะรักคุณมากกว่าเกลียดแน่นอน  และคุณจะทำงานร่วมกับลูกน้องและทีมงานได้อย่างยืดยาว

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2559

เลือกคนแบบไหนมาเป็นผู้จัดการหรือผู้บริหารโรงงานเย็บผ้า


เลือกคนแบบไหนมาเป็นผู้จัดการหรือผู้บริหารโรงงานเย็บผ้า 

ผู้บริหารที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้หมายถึงระดับผู้จัดการแผนกและผู้จัดการฝ่าย  บางคนมีประสบการณ์เคยทำงานในหน่วยงานนั้นๆมานานหลายปี  ทำงานดีและทำงานเก่ง  ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้บริหารหน่วยงานนั้นได้  ความเข้าใจผิดของเจ้าขององค์กรหลายๆคนในการแต่งตั้งพนักงานที่มีประสบการณ์และความสามารถขึ้นมาเป็นผู้จัดการ  ทำให้องค์นั้นเสียพนักงานฝีมือดีๆไปแต่ได้ผู้บริหารห่วยๆมาแทน หลายต่อหลายครั้งแล้ว  การเลือกคนมาทำงานในระดับบริหารจึงต้องประเมินจากความสามารถในการควบคุมดูแลพนักงานให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง  ได้ปริมาณและคุณภาพงานตามเป้าหมาย 
คุณสมบัติของผู้จัดการหรือผู้บริหารโรงงาน
-          มีภาวะผู้นำ  พนักงานคนอื่นๆให้ความนับถือเชื่อฟัง
-          ที่สำคัญที่สุดต้องเข้าใจผังการไหลของงานในแผนกที่รับผิดชอบเป็นอย่างดี  สามารถจัดระเบียบงานให้ไหลเข้าและไหลออกตามลำดับที่ถูกต้อง  เพราะถ้าไม่เข้าใจผังการไหลของงานจะทำให้เกิดการผลิตมากเกินไปในบางขั้นตอน  และเกิดการรอคอยในบางขั้นตอน  เกิดผลเสียกับหน่วยงานถัดไปทำให้รับงานไม่ได้ตามแผน
-          แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้รวดเร็ว  อย่าลืมว่าพนักงานมีหน้าที่ทำงานตามขั้นตอนที่กำหนด  เมื่อมีปัญหาเฉพาะหน้าเกิดขึ้นพนักงานจะไม่สามารถแก้ไขเองได้  เป็นหน้าที่ผู้จัดการต้องเข้าไปค้นหาสาเหตุ  แก้ไขและสรุปอย่างรวดเร็ว  เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
-          การเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรและปฏิบัติตามระบบการทำงานของบริษัท  จะช่วยให้การประสานงานกับหน่วยงานอื่นเป็นไปอย่างราบรื่น  ผู้จัดการหรือผู้บริหารที่ทนงตนคิดว่าตัวเองเก่ง  ออกแบบการทำงานตามวิธีของตัวเองโดยไม่สนใจระบบและวัฒนธรรมขององค์กร  จะเข้ากับคนอื่นหรือหน่วยงานอื่นไม่ได้  สุดท้ายก็ล้มเหลวในการบริหาร
เป็นถึงระดับผู้จัดการโรงงานเย็บผ้า  ไม่จำเป็นจะต้องเย็บผ้าเป็น  แต่ถ้าเขามีความรู้เรื่องการใช้จักรเย็บ  จะช่วยให้การบริหารการใช้เครื่องจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ผู้จัดการไม่จำเป็นต้องซ่อมจักรเป็น  แต่ถ้าเขารู้เรื่องฟังก์ชั่นการใช้งานของเครื่องจักรแต่ละประเภทจะได้รับความนับถือจากแผนกช่างซ่อมบำรุง  และมากกว่านั้นคือแผนกที่คิดว่าไม่มีใครรู้ทันอย่างแผนกช่างจะไม่สามารถลูกจมูกผู้จัดการได้  การมีความรู้ผังงานของหน่วยงานก่อนหน้าและหน่วยงานถัดจากตัวเองก็เป็นประโยชน์ในการดึงงานเข้าในแผนกและส่งงานต่อไปแผนกอื่นได้ตามแผน
การเป็นผู้จัดการหรือผู้บริหารโรงงานเย็บผ้า  จำเป็นต้องรู้งานของทุกหน่วยงานในโรงงาน เพื่อควบคุมและสั่งงานได้อย่างถูกต้อง  รู้งานภาพรวมของหน่วยงานก่อนและหลัง  เพื่อจะได้ประสานงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เพราะโรงงานเย็บผ้ามี process มากกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ  การนั่งสั่งการให้ลูกน้องทำงานไม่เพียงพอ  ต้องรู้กระบวนการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

สัมภาษณ์อย่างไรให้ได้คนคุณภาพมาร่วมงาน


สัมภาษณ์อย่างไรให้ได้คนคุณภาพมาร่วมงาน 

การสัมภาษณ์เพื่อรับบุคคลเข้าทำงานเป็นการพิจารณาคัดกรองบุคคลภายในเวลาอันสั้น  โดยประเมินจากการพูดคุยซักถามในเวลาไม่กี่ชั่วโมง  หลังจากการอ่านใบสมัครอันประกอบด้วยประวัติส่วนตัว  ประวัติการศึกษา  และประวัติการทำงาน  ซึ่งเอกสารเหล่นี้จะน่าสนใจจนมีการเรียกสัมภาษณ์  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประวัติหรือคุณสมบัติที่ดีของผู้สมัครเพียงอย่างเดียว  แต่ขึ้นอยู่กับวิธีการเขียนเอกสารที่น่าสนใจด้วย  ยิ่งถ้าผู้สมัครเขียนได้ตรงกับสเปคที่บริษัทกำลังต้องการจะยิ่งเป็นที่สนใจเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว  แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้สมัครคนนั้นจะมีคุณสมบัติตามที่เขียนร้อยเปอร์เซ็นต์  การสัมภาษณ์จึงมีความสำคัญอย่างมากในการประเมินผู้สมัครและตัดสินใจรับเข้าทำงาน
หลังจากฝ่ายบุคคลคัดสรรผู้สมัครตามคุณสมบัติเบื้องต้น  ส่งให้หัวหน้าหน่วยงานหรือผู้บริหารเพื่อพิจารณาเรียกสัมภาษณ์นั้น  สิ่งสำคัญข้อแรกคือ การวิเคราะห์สิ่งที่ปรากฎในเอกสารทั้งหมดว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด  เรื่องนี้อาจจะไม่ยากนักสำหรับตำแหน่งที่ไม่เน้นประสบการณ์  เพราะดูเฉพาะวุฒิการศึกษาตรงตามสายงาน  อายุอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด  ที่อยู่สามารถเดินทางมาทำงานได้สะดวก  ก็คงเพียงพอแล้ว  แต่สำหรับตำแหน่งที่ต้องการประสบการณ์ในการทำงานนั้นต้องพิจารณาอย่างหนักในส่วนของประวัติการทำงานจากบริษัทต่างๆ  ว่าช่วยให้บุคคลคนนั้นมีความชำนาญในตำแหน่งที่รับสมัครหรือไม่
การเตรียมคำถามที่จะสัมภาษณ์ให้ตรงประเด็นกับตำแหน่งที่รับสมัครเป็นเรื่องที่ควรทำต่อจากวิเคราะห์เอกสารของผู้สมัคร  คำถามที่ตรงประเด็นจะมาจากหน้าที่และความรับผิดชอบในบริษัทต่างๆที่เคยทำงานมา  ถามรายละเอียดว่าเคยทำอะไรบ้างในตำแหน่งที่เขียนไว้ในเอกสาร  ถ้าตอบวกไปวนมาแสดงว่าไม่เคยทำหน้าที่นั้นจริง  อาจจะเพียงแค่เห็นคนอื่นในบริษัททำและนำมาเขียนเป็นประสบการณ์ของตัวเอง  หรือถึงแม้เคยอยู่ในตำแหน่งนั้นจริงก็ถือว่าทำงานไม่ประสบความสำเร็จเพราะนำมาเล่าหรือตอบคำถามไม่ได้  การศึกษาโปรไฟล์แต่ละบริษัทที่ผู้สมัครเคยผ่านงานมา  จะช่วยให้วิเคราะห์ได้ว่ามีตำแหน่งหน้าที่ตามที่ผู้สมัครเขียนในเอกสารจริงหรือไม่
มาถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการประเมินผู้สมัคร  คือการสัมภาษณ์  เริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์บุคลิกว่ามีความเหมาะสมกับตำแหน่งที่สมัครหรือไม่  โดยเฉพาะตำแหน่งที่มีลูกน้องใต้บังคับบัญชา  ต้องมีลักษณะเป็นผู้นำ  การพูดจามีความน่าเชื่อถือที่จะสั่งคนทำงานได้  บุคลิกเหนียมอายหรือหน่อมแน้มย่อมไม่เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้างาน  วิเคราะห์การตัดสินใจของผู้สมัครจากการตอบคำถาม  เด็จขาดเกินไปหรือเหลาะแหละโลเล  เพราะการตัดสินใจผิดพลาดของหัวหน้างานไม่ได้ผิดคนเดียว  แต่จะนำพาลูกน้องผิดพลาดทั้งหน่วยงาน  ตอบคำถามอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงหรือขี้โม้  เพราะถ้ารับคนขี้โม้เข้ามาทำงาน  เจ้านายจะได้รับข้อมูลที่ผิดเพี้ยนจากข้อเท็จจริง
การรับบุคคลตำแหน่งใดเข้ามาทำงานในองค์กร  ย่อมต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถ  ขยันอดทน  และซื่อสัตย์  ซึ่งถ้าพบว่าการเขียนเอกสารกับความเป็นจริงไม่ตรงกัน  การตอบคำถามมีความไม่น่าเชื่อถือ  ย่อมหมายถึงว่าถ้ารับเข้ามาทำงานแล้ว  องค์กรนั้นจะได้คนที่ไม่มีคุณภาพ  ถึงแม้จะไม่ผ่านทดลองงานก็ทำให้เสียเวลาและเสียโอกาสของคนอื่นที่มีความรู้ความสามารถที่แท้จริง

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2559

การทำงานกับเจ้านายหลายคน


การทำงานกับเจ้านายหลายคน 

ถึงแม้จะทราบดีกันอยู่แล้วว่าการบริหารที่ดีจะต้องมีเส้นบังคับบัญชาในแนวตั้งเส้นเดียว  แต่ในความเป็นจริง  บริษัทที่บริหารงานกันในหมู่ญาติพี่น้องในตระกูล  ก็ยังมีมากในประเทศไทย  การบริหารงานในบริษัทแบบญาติพี่น้องทำให้มีเจ้านายหลายคน  บางบริษัทอาจจะแบ่งหน่วยงานกันดูแลได้ชัดเจน  ลูกน้องใครก็แยกชัดเจนไม่ก้าวก่ายกัน  แต่อีกหลายๆบริษัทยังแบ่งกันไม่ชัดเจน  เจ้านายฝ่ายผลิตก็สั่งงาน  เจ้านายฝ่ายบัญชีก็สั่งงาน  เจ้านายฝ่ายขายก็สั่งตรงเอง  แถมดีไม่ดีเจ้านายใหญ่ของบริษัทยังเรียกใช้อยู่เป็นประจำด้วย  ดูเหมือนคุณจะเป็นคนสำคัญกับการได้ทำงานกับเจ้านายหลายๆคน  อาจจะหมายถึงคุณมีความรู้ความสามารถหลายอย่าง  เป็นที่หมายปองของเจ้านายทุกฝ่าย  แต่ข้อเสียก็มีไม่น้อย  เพราะคนหลายๆคนย่อมสั่งงานไม่เหมือนกัน  และอาจจะถึงขั้นสั่งขัดแย้งกัน  ถึงขั้นนี้แหละที่จะทำให้คุณปวดหัวและหาทางออกไม่ถูก
อย่างแรกคือตั้งสติ  และนึกถึงตอนที่เราเข้ามาทำงานในบริษัทว่าตกลงว่าจ้างในตำแหน่งอะไร  มีใครเป็นหัวหน้าตามสายงาน  จะช่วยให้คุณคิดได้ว่าจะฟังคำสั่งใครเป็นอันดับแรก  ใช้คำว่าอันดับแรกหมายความว่ามีอันดับสอง สาม สี่ และอันดับต่อๆไป  หลังจากที่คุณปฏิบัติงานตามคำสั่งเจ้านายสายตรงเสร็จสิ้น  คุณจึงจัดสรรเวลาทำงานให้เจ้านายคนอื่นๆ  ซึ่งนอกจะไม่เสียงานกับเจ้านายสายตรงแล้ว  ยังได้ความชอบจากเจ้านายคนอื่นๆที่คุณทำงานตามหน้าที่เต็มเวลาแล้วยังจัดสรรเวลาทำงานให้เขาได้อีก
หากงานที่ได้รับคำสั่งมาคาบเกี่ยวกันด้วยเรื่องเวลา  สถานที่  หรือการประสานงานกับหน่วยงานอื่น  จนไม่สามารถจัดแบ่งเวลาทำและกำหนดเสร็จได้ลงตัว  ต้องเรียนให้เจ้านายทราบทั้งสองฝ่าย  และนำเสนอวิธีการหรือทางออกที่คุณคิดว่าเจ๋งเป้ง  แบบไม่ให้เสียงานใครสักคน  หรือภายในเวลางานทำงานใครไม่เสร็จ  นัดทำนอกเวลางานหรือนัดทำในวันหยุดให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย  ข้อนี้ก็ได้คะแนนอีก
หนักสุดของเรื่องนี้คือการสั่งงานขัดแย้งกัน  ถ้าทำงานให้นายคนแรกจะผิดใจนายคนที่สอง  แบบนี้กลุ้มล่ะ  แต่ยังไม่หมดหนทางเสียทีเดียว  ถ้าคุณมีเพาเวอร์พอก็บอกให้รู้ไปเลยว่าทั้งสองคนสั่งงานขัดแย้งกัน  ทำให้เกิดผลเสียกับบริษัทอย่างไรบ้าง  งานนี้นายจะอึ้งไปเลยทีเดียว  เขาจะเลิกสั่งงานคุณขัดแย้งกันอีก  แต่ถ้าคุณยังไม่มั่นใจ  คิดว่าพูดไปสองไพเบี้ย  ก็ต้องอดทน  ทำงานให้ทั้งสองฝ่ายเพื่อให้เห็นผลเองว่างานที่สั่งขัดแย้งกันอย่างไร  วิธีนี้ต้องใจเย็น  เพราะต้องรอให้คนสั่งเห็นผลเอง
ใครได้ทำงานในองค์กรที่จัดวางผังองค์กรที่ลงตัว  มีการแบ่งสายงานที่ชัดเจน  เพื่อร่วมงานทำตามบทบาทหน้าที่ที่กำหนด  ก็คงถือว่าโชคดี  แต่น้อยคนนักที่จะพบเจอองค์กรในฝันแบบนั้น  จึงหวังว่าวิธีการที่นำเสนอมานี้จะสามารถนำไปใช้ได้บ้างไม่มากก็น้อย

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2559

ปราบพนักงานเก่าแก่ ไม่ยอมพัฒนา


ปราบพนักงานเก่าแก่ ไม่ยอมพัฒนา 

ถึงแม้เทคโนโลยีในปัจจุบันจะพัฒนาไปมาก  มีเครื่องจักรที่ทันสมัยถึงขั้นพัฒนาเป็นหุ่นยนต์ทำงานแทนมนุษย์ได้  แต่โรงงานเย็บผ้ายังเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยฝีมือแรงงานมากกว่าอุตสหากรรมอื่น  การพึ่งพาฝีมือแรงงานนี้เป็นส่งผลให้ต้องอาศัยการบริหารจัดการคนอย่างหนัก  ตั้งแต่สรรหาพนักงานให้เพียงพอกับกำลังการผลิตตามแผนการผลิต  มีสวัสดิการให้ถูกต้องตามกฎหมายแรงงาน  บริหารจัดการการหยุดงานไม่ให้กระทบกับแผนการผลิต  อื่นๆอีกจิปาถะ  ยังไม่พอ  ยังต้องปวดหัวกับความแตกต่างหลากหลายของพนักงานร้อยคนพันคนที่มารวมอยู่ในองค์กรเดียวกัน  โดยเฉพาะพนักงานที่ทำงานมานาน  คุ้นเคยกับวิธีการเดิมๆ  ไม่ยอมรับระบบใหม่ๆ  เทคโนโลยีหรือวิธีการใหม่ๆ  เรียกรวมว่าไม่ยอมพัฒนา  เพราะกลัวว่าจะทำให้ตัวเองขาดความสำคัญ
คุณสมบัติกลุ่มคนเก่าแก่ไม่ยอมพัฒนา  จะเป็นคนที่มีอายุงานมากกว่าคนอื่น  จะวางตัวเป็นหัวหน้าแก๊ง  มีพนักงานอายุงานน้อยๆคอยติดตามและเห็นด้วยกับความคิดเห็นไม่ว่าจะถูกหรือผิด  ไม่ว่าจะทำให้เกิดประโยชน์หรือโทษกับองค์กร  อาจจะเต็มใจหรือจำใจเห็นด้วยเพื่อให้อยู่ในหน่วยงานนั้นได้  ทำงานตามความเคยชินของตัวเองโดยไม่มองว่าเป็นปัญหากับคนอื่นรอบข้างหรือไม่  ทำได้แค่นี้  ทำไม่ได้ทำไม่ทันหรอก  ยากเกินไป  ไม่มีใครทำได้หรอก  ไม่เสร็จหรอก  จะเป็นคำพูดประจำของคนกลุ่มนี้  การส่งงานล่าช้า  ส่งงานผิดพลาด  ล้วนเกิดจากคนอื่นไม่ใช่ตัวเอง
คนกลุ่มนี้จะมีอิทธิพลมากเมื่อผู้หลักผู้ใหญ่ในองค์กรให้ความสำคัญ  ใครนำเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาอะไรผู้ใหญ่ก็ไม่เห็นด้วยถ้าคนเก่าแก่คัดค้าน  หากองค์กรไหนมีผู้นำแบบนี้  การเปลี่ยนงานน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด  เพราะจะพยายามทำผลงานเท่าไหร่ก็คงไม่มีคนเห็น  แต่การปราบคนกลุ่มนี้ก็ใช่ว่าจะยากจนเกินไป
วิธีแรก  คุยตรงไปตรงมา  แต่ต้องคุยด้วยสันติวิธี  บอกเหตุและผลว่าการทำงานตามความเคยชินของพวกเขามีผลเสียอย่างไรบ้าง  เช่น  งานล่าช้าทำให้คนอื่นรองาน  แต่ถ้าทำตามวิธีที่เราแนะนำงานจะเสร็จเร็วขึ้นได้ปริมาณงานมากขึ้น  วิธีนี้ต้องใจเย็น  ขอย้ำว่าต้องใจเย็นมากๆ  เพราะคุณพูดอะไรเขาจะต้องเถียงคุณแน่นอน  คุณจะต้องทำการบ้านมาเป็นอย่างดีก่อนจะเรียกเขาคุย  ต้องเตรียมเป็นข้อๆเลยว่าบอกอะไรเขาไปเขาจะเถียงกลับมาอย่างไรและเราจะต้องแก้ข้อถกเถียงของเขาอย่างไร  วิธีนี้มีจุดประสงค์เพื่อชี้แจงให้เขาได้รับทราบการกระทำที่ไม่ถูกต้อง  ถ้าเขายอมรับถือว่าโชคดี  แต่ถ้าเขาไม่ยอมรับถือว่าเราได้ชี้แจงแล้ว  เก็บไว้เป็นประวัติเพื่อใช้เป็นเหตุผลในการลงโทษเมื่อทำงานผิดพลาด  หรือเป็นเหตุผลในการดำเนินการขั้นตอนต่อไป
 วิธีที่สอง  ศึกษางานของเขาและจัดหาคนมาเรียนรู้งานที่เขาบอกว่ายากนักยากหนา  ไม่มีมนุษย์หน้าไหนทำได้นอกจากเขาเท่านั้น  ซึ่งงานไม่ยากเกินไปหรอก  คุณต้องคิดว่าบริษัทอื่นก็มีงานนี้เหมือนกันยังทำงานได้  แสดงว่ามีคนอื่นทำงานนี้ได้  เพียงแต่เราต้องอดทนที่จะศึกษางานจากเขา  ถ่ายทอดให้คนอื่นและคอยสนับสนุนและให้กำลังใจคนที่จะมาเรียนรู้งานต่อจากเขา  เมื่อมีคนอื่นทำได้  เขาจะรู้สึกเองว่าตัวเองไม่ได้มีความสำคัญคนเดียวในโลก  และจะยอมปรับปรังตัวเองโดยดี
วิธีที่สาม  โยกย้ายงาน  การโยกย้ายงานมี 2 แบบ คือ โยกย้ายไปทำงานหน้าที่เดิมร่วมกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นหัวหน้าและลูกน้องคนอื่น  แบบที่สองคือโยกย้ายไปหน่วยงานอื่นเพื่อทำหน้าที่อื่น  ซึ่งจะเลือกใช้วิธีไหนขึ้นอยู่กับองค์กรว่ามีตำแหน่งหน้าที่แบบไหนรองรับ  แต่รับรองการโยกย้ายจะทำให้คนปรับเปลี่ยนพัฒนาตัวเองเพื่อให้เข้ากับงานใหม่ที่ถูกโยกย้ายไปทำ  ถ้าเขายังเปลี่ยนไม่ได้จริงเขาจะอยู่ร่วมกับหน่วยงานใหม่หรือเพื่อร่วมงานใหม่ไม่ได้  เขาจะเป็นฝ่ายไปเอง
ทำทั้ง 3 วิธีแล้วยังไงก็ต้องได้ผลไม่มากก็น้อย  อย่างน้อยก็คงพอเป็นแนวทางในการบริหารคนที่ไม่ยอมพัฒนา  แต่ถ้ายังไม่ได้ผล  คนคนนั้นก็น่าจะเกินเยียวยา  สุดท้ายต้องส่งเรื่องให้เจ้าของบริษัทพิจารณา  ส่วนเราก็ต้องเตรียมหาคนทำงานแทน